DIARY

วันแรกของวันที่เหลือ



ปรัชญาเต๋า;บอกว่า"คนเราไม่เคยนึกถึงตีนเมื่อรองเท้าไม่กัด"
คนเรามักมองไม่เห็นของดีที่ตนมีอยู่จนเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว
ไม่เห็นคุณค่าของสองแขน จนกระทั่งมันอยู่ในเฝือก
ไม่เห็นคุณค่าของงาน (ที่เราว่าแย่ๆ) จนกระทั่งตกงาน
ไม่เห็นคุณค่าคนรัก (ที่เราว่าไม่เพอร์เฟ็กท์)
จนกระทั่งเธอหรือเขาไปแต่งงานกับคนอื่น
ไม่เห็นคุณค่าของพ่อแม่ (ที่เราว่าขี้บ่น) จนกระทั่งไปงานศพของท่าน
สิ่งที่คนจำนวนมากเลือกทำคือ บ่นว่าตนเองไม่มีความสุข ไม่ประสบความสำเร็จ
ไม่รวย ไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งนั้นสิ่งนี้ และเอ่ยประโยคยอดฮิตว่า
"มันไม่แฟร์เลย"
บางที ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าโลกไม่มีความยุติธรรม ก่อนที่เราจะบ่น
ลองมองตัวเราเองดูดีๆ เราจะพบว่า เรามีอะไรดีๆ หลายอย่างที่คนอื่นไม่มี
เราสามารถทำ "หนึ่งวันเดียวกัน" ของเราให้มีความหมายได้
ก็ต่อเมื่อเราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี และใช้วันนี้
วันแรกของวันที่เหลืออย่างคุ้มค่าที่สุด
เพราะวันแรกของชีวิตที่เหลือนี้ช่างสั้นเหลือเกิน
และเพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเรามี
"วันแรกของวันที่เหลือ" อยู่อีกสักกี่วัน
 

ช่วงหนึ่ง ของกาลเวลา

เวลา

ช่วงหนึ่ง.. ของกาลเวลา เสียงเข็มวินาที ดังเคลื่อนดุจปลิดกาลเวลาทิ้งให้เหลือเพียงความว่างเปล่า  วันวานหลุดร่วง กลายเป็นอดีตที่เกลื่อนกราดในความทรงจำบ้างทับถม จนกลายเป็นตะกอนก้อน ประสบการณ์ นำพาคุณประโยชน์บ้างก็เป็นเพียง เศษเสี้ยว เรื่องราวในอดีต ที่ล่องลอยมิลืมเลือน
หนึ่งช่วงเวลา ที่ผ่านปัจจุบัน ย่อมกลายเป็นอดีตในความจำแต่วันเวลา ช่วงหนึ่ง กลับดูคลายปัจจุบัน ตลอดเวลา มิกลายเป็นอดีต  ทั้งที่เข็มนาฬิกามิเคยหยุดนิ่ง และลำแสงแห่งตะวันยังคงเคลื่อนคล้อย
จวบจน เมื่อทุกอย่างสิ้นสูญ ช่วงเวลาหนึ่งก็จักกลายเป็นอดีต โดยพลัน
การที่ได้รู้จักใครซักคน วันพรุ่งนี้ คน ๆ นั้น ก็ยังคงเป็นปัจจุบันในกาลที่ผ่านเลย  เหมือนไม่อาจมีสิ่งใด มาแปรผัน จุดต่าง ที่เปลี่ยนแปลงแห่งวัฎจักร กาลเวลา จากวัน ล่วงเดือน จากเดือนนานนับจบขัย ความสัมพันธ์ที่คงมั่น จุดยืน อดีตและปัจจุบัน ดูจะมิต่างกัน บนเส้นทางมิตรภาพ และความผูกพัน ...แต่ทุกสิ่งย่อมมีจุดสิ้นสุด...

เมื่อนิทานเรื่องหนึ่ง เดินทางไกลมาถึงจุด เจ้าชายและเจ้าหญิงอาจมิได้ครองคู่กัน การพลัดพรากจากลา เป็นดั่งสายลมที่ปลายปากกา มิอาจเขียนแต่ง แต่มีอยู่จริง เรื่องราว ที่เคยเป็นปัจจุบัน กลับกลายเป็นอดีต ดั่งปิดปกหนังสือหน้าสุดท้าย ความทรงจำ และประสบการณ์ จึงจักดำรงหน้าที่ แห่งกาลอดีต
 ตลอดไป.....


 เรียนรู้จากความผิดพลาด


ช่วยกันฝึกตนเองให้มีนิสัยตรงไปตรงมา ตั้งใจพัฒนาตนและพัฒนางาน ลดความไร้สาระตามกระแสคนอื่น เรียนรู้จากความสำเร็จหรือล้มเหลวที่ผ่านมา
ช่วยกันฝึกตนเองให้มีนิสัยตรงไปตรงมา ตั้งใจพัฒนาตนและพัฒนางาน ลดความไร้สาระตามกระแสคนอื่น เรียนรู้จากความสำเร็จหรือล้มเหลวที่ผ่านมา ฝึกตัวเองให้พูดน้อยลงและฟังให้มากขึ้น ฝึกจิตของตนให้พิจารณาไตร่ตรองก่อนที่จะบ่นหรือตอบโต้คนอื่น หมั่นนึกว่าชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร ทำในสิ่งสมควรทำในวันนี้ ไม่ทวงบุญทวงคุณเอากับใคร นอกจากหมั่นสังวรณ์ว่าวันนี้เรายังมีชีวิตอยู่ที่จะเลือกทำในสิ่งที่ควรอย่างตั้งอกตั้งใจ